วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Cuban Rumba


ประวัติความเป็นมา


          จังหวะคิวบันรัมบ้าได้นำเข้ามาสู่ประเทศอเมริกาโดยทาสชาวอัฟริกันตั้งแต่เมื่อราว ค.ศ. 1928-1929 การก้าวเท้าและรูปแบบการเต้นของจังหวะนี้ยังไม่ชัดเจนเลยที่เดียวคนส่วนใหญ่ทึกทักเอาการเต้นของจังหวะนี้เป็นการเต้นรูปแบบใหม่ของจังหวะ ฟอกซ์ทรอท ด้วยการเพิ่มการใช้สะโพกลงไปจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะคิวบันรัมบ้าจึงได้รับการพัฒนาต่อไปให้เป็น โดย Monsieur Pierre และ Doris Lavell นักลีลาศชาวอังกฤษ ซึ่งมีโรงเรียนสอนอยู่ที่ถนน Regent ในมหานครลอนดอน แต่ก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร จนกระทั่งWalter Lird เริ่มเขียนตำราการลีลาศของจังหวะลาตินขึ้นผลงานของเขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากหลายองค์กรของการลีลาศ


ตัวอย่างการเต้นจังหวะ Cuban Rumba

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

องค์ประกอบทั่วไป


          จังหวะดนตรี      เป็นจังหวะประเภท 4/4คือมี4 จังหวะในหนึ่งห้องเพลง เสียงเน้นหนักที่
                                  จังหวะ 1 แต่ละจังหวะให้ค่าเท่ากับ 1
          ความเร็ว            27 ห้องเพลงต่อ 1 นาที
          การนับ               นิยมนับ 2,3,4-1 หรือ เร็ว เร็ว ช้า
          การก้าวเท้า        จะหนักหน่วง เคลื่อนที่ตามจังหวะ การเดินที่แข็งแรงและตรงทิศทาง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอกลักษณ์เฉพาะของการเคลื่อนไหว


          เป็นจังหวะที่ค่อนข้างช้านุ่มนวล สวยงามและโรแมนติคน่าประทับใจแฝงด้วยลีลาที่ยั่วยวน กระตุ้นความรู้สึก ดูดดื่ม ยั่วเย้าและการผละหนีอย่างมีจริต จังหวะคิวบันนี้ความสำคัญอยู่ที่การเคลื่อนไหวสะโพก ซึ่งเกิดจากการควบคุมการโอนถ่ายน้ำหนักจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง เมื่อเท้าใดเท้าหนึ่งรับน้ำหนักตัวสะโพกด้านนั้นจะเหวี่ยงออกไปในลักษณะหมุนเป็นวงกลม คิวบัน รัมบ้า ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ Queen of latin”

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ฟิกเกอร์พื้นฐาน  ประกอบด้วย

1. ทักษะเบื้องต้น  (Basic Movement)



2. การหมุนพร้อมกันทั้งชายและหญิง (Spot Turn)



3. นิวยอร์ค (New York)



4. โชลเดอร์ทูโชลเดอร์(Shoulder to Shoulder)


5. แฮนด์ทูแฮนด์ (Hand to Hand)






แหล่งที่มา ::  http://www.bncc.ac.th/old/electronicmedia/taweelap/07.pdf


วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

ความหมายของการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

          การสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เป็นกลวิธีทางสาธารณสุขที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการบริการสาธารณสุขของรัฐที่มีอยู่เดิม โดยให้ความสำคัญในการดำเนินงานระดับตำบลและหมู่บ้าน ด้วยการผสมผสานการให้บริการทั้งทางด้านการรักษา พยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพที่ประชาชนดำเนินการเอง ซึ่งประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการวางแผน การดำเนินงาน และการประเมินผล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านวิชาการ ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษาฝึกอบรม และระบบส่งต่อผู้ป่วย โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นหลัก และ ผสมผสาน การพัฒนาการสาธารณสุขกับการพัฒนาด้านการศึกษา การเกษตรและสหกรณ์ และการพัฒนาชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเองและพึ่งตนเองได้

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลักการและเหตุผลของการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน 

          ตามนโยบายการเร่งรัดพัฒนาชนบทที่จะทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ  ซึ่งมีฐานะยากจน  ด้อยการศึกษา และมีสถานภาพทางสุขภาพต่ำ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นนั้น  รัฐบาลถือว่าสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศ ประชาชนในชนบทเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการบริการสุขภาพที่ดี แต่การบริการสาธารณสุขที่รัฐบาลได้ดำเนินการมายังไม่สามารถครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่

          บริการสาธารณสุขมีการจัดเป็นระบบที่สอดคล้องกับระบบการบริหารงานส่วนภูมิภาค  คือ ตำบล  อำเภอ จังหวัด  ในระดับตำบล  กระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีสถานีอนามัย และมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างน้อยสองคนอยู่ประจำให้บริการสาธารณสุขพื้นฐาน ในระดับอำเภอมีโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลชุมชน ในทุกอำเภอที่มีประชาชนอยู่ค่อนข้างหนาแน่น งานของโรงพยาบาลชุมชนนั้นมีความสามารถสูงกว่าบริการสาธารณสุขพื้นฐานที่ สถานีอนามัยตำบล เพราะมีงานด้านการรักษาพยาบาลและดูแลผู้ป่วยมากกว่า   นอกจากนั้นโรงพยาบาลชุมชนยังคอยรับรักษา หรือให้คำปรึกษาเมื่อสถานีอนามัยตำบลได้ส่งผู้ป่วยที่เกินขีดความสามารถที่ตนจะทำการรักษาได้มาให้ในเรื่องของการเจ็บป่วยโดยทั่วไป     โรงพยาบาลชุมชนสามารถให้การช่วยเหลือได้แทบทั้งหมด ยกเว้นแต่อาการป่วยบางชนิดที่ต้องการการดูแล หรือการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หรือต้องการผ่าตัดที่ค่อนข้างจะซับซ้อน โรงพยาบาลชุมชนจึงจะส่งต่อไปให้โรงพยาบาลจังหวัดต่อไป

 สถานีอนามัย :: ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล งานควบคุมป้องกันโรค
งานส่งเสริมสุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในเขตรับผิดชอบ

          นอกจากนี้  เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ  ปัญหาสาธารณสุขที่พบในชนบทนั้น มากกว่า ร้อยละ ๗๐ เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องราวของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยตนเอง  ความไม่รู้และไม่เข้าใจนี้ทำให้ประชาชนต้องประสบกับอันตรายยิ่งขึ้น    เมื่อมีโรคร้ายแรงแล้วจะลองดูแลรักษากันเอง โดยไม่ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชน   หรือโรงพยาบาลจังหวัดในระยะเริ่มแรก  ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตไปโดยไม่ควร  เหตุผลที่สำคัญมากประการสุดท้ายก็คือ    สุขภาพอนามัยนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล  ทุกคนมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะรู้และมีส่วนรับผิดชอบในสุขภาพอนามัยของตนเอง  รัฐบาลมีหน้าที่ให้ประชาชนมีความรู้ ความสามารถที่จะป้องกันดูแลตนเองอย่างเท่าเทียมกัน

          ดังนั้น การที่จะขยายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรในชนบทให้มากยิ่งขึ้น มีการใช้ประโยชน์ของสถานบริการต่างๆ อย่างเต็มที่ ประชาชนสามารถรักษาโรคอย่างง่ายๆ ได้  เพราะประชาชนได้มีส่วนรับผิดชอบสุขภาพอนามัยของตนเอง    กระทรวงสาธารณสุขจึงคำนึง ถึงกลวิธีใหม่ คือ   พัฒนาประชาชนให้เกิดความรู้ความสามารถที่จะช่วยเหลือหรือดำเนินการสาธารณสุขที่จำเป็นขั้นมูลฐานหรือพื้นฐานได้ด้วยตนเอง  โดยวิธีการนี้ก็จะมีงานสาธารณสุขที่ประชาชนทำได้และที่ประชาชนทำไม่ได้  รัฐบาล จะทำในสิ่งที่ประชาชนทำไม่ได้และจะต้องทำการพัฒนาสนับสนุนให้ประชาชนเกิดความสามารถทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้โดยอาศัยวิทยาการ ต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะพอเห็นได้ว่า  แม้ว่าทรัพยากรไม่เพิ่มขึ้น บริการสาธารณสุขที่จำเป็นขั้นมูลฐานหรือพื้นฐานก็สามารถเข้าถึงประชาชน  ได้ทุกคน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


แนวคิดของการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

          แนวความคิดสากลของการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เกิดจากความพยายามของรัฐบาลทุกประเทศ ทั่วโลกที่จะให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็น ได้แก่ การรักษาโรค การส่งเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วย ให้ครอบคลุมประชาชนทุกคน ทั้งระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชน การที่จะให้บริการที่จำเป็น ดังกล่าวเป็นจริงได้นั้น มีอยู่หนทางเดียว คือ ให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติได้ด้วยตนเอง แนวคิดดังกล่าวแตกต่างจากการปฏิบัติในอดีตที่เน้นให้ความสำคัญแก่ระบบการจัดการบริการสาธารณสุขให้แก่ประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว แนวคิดทางการสาธารณสุขมูลฐานเป็นแนวคิดทางด้านการพัฒนาทางสังคม เพราะมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ ความสามารถ การรวมกลุ่มกันในชุมชน และการตั้งใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนบ้านและสมาชิกในครอบครัว


เหล่าอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่ได้รับการฝึกอบรมพัฒนาความรู้ 
ความสามารถ เพื่อให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ชาวบ้านในชุมชน


          ดังนั้น การสาธารณสุขขั้นพื้นฐานจึงต้องดำเนินการโดยประชาชนเอง และเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ประชาชนจะต้องช่วยกันหารือ ค้นหาว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ แต่ก่อนที่ประชาชนจะดำเนินการกันเองได้นั้น ประชาชนจะต้องช่วยกันพิจารณาว่าใครเป็นผู้เหมาะสมที่จะดำเนินการได้   และผู้ที่ได้รับเลือกจากประชาชนนั้นจะต้องเป็นสมาชิกของชุมชนในหมู่บ้าน เมื่อประชาชนได้เลือกผู้ที่เหมาะสมมาแล้วให้เป็นผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.)  หรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)  เขาก็จะต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถของเขา โดยศึกษาจากปัญหาที่มีอยู่ในชุมชนหรือในหมู่บ้านของเขาเอง

          ถ้าหากประชาชนทุกคนได้ร่วมกันปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐานดังกล่าว รัฐจะต้องให้การสนับสนุนเพื่อเชื่อมโยงบริการสาธารณสุขของรัฐที่จัดให้เป็นปกติอยู่แล้ว ให้เกิดผลต่อประสิทธภาพ และประสิทธิผลของการบริการสาธารณสุขพื้นฐาน และถ้าประชาชนทุกคนหรือประชาชนส่วนใหญ่ มีสุขภาพอนามัยดีแล้ว ก็จะทำให้ภาวะทางสังคม หรือการพัฒนาทางสังคมของประเทศดีขึ้นตามไปด้วย   คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนก็ต้องดีตามอย่างแน่นอน 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลักการทำงานสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

          หลักสำคัญๆ ในการทำงานสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่เจ้าหน้าที่ควรยึดถือปฏิบัติ   คือ 

          ไปหาชาวบ้าน
          อยู่กับชาวบ้าน
          เรียนรู้จากชาวบ้าน
          ทำงานร่วมกับชาวบ้าน
          วางแผนร่วมกับชาวบ้าน
          เริ่มงานจากสิ่งที่ชาวบ้านรู้
          สร้างสรรค์จากสิ่งที่ชาวบ้านรู้
          สอนโดยแสดงให้เห็นจริง
          เรียนโดยการทำงาน
          ไม่ทำงานอย่างฉาบฉวยเอาหน้า
          ทำงานอย่างมีระบบ
          ไม่ทำงานอย่างกระจัดกระจายให้สูญเปล่าทรัพยากร 


------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แหล่งที่มา ::